'สาเก' 'สาโท' และ 'โซจู' เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?
หลายคนอาจจะเห็นร้านสาเกเปิดใหม่ในไทยค่อนข้างมาก
และเหล้าพื้นบ้านอย่างสาโท ที่ทำจากข้าวเหมือนกัน และยังมีชื่อเรียกคล้ายกันด้วย มีความเหมือนหรือต่างกันยังไงบ้าง ?
ต้องบอกว่าในสมัยก่อน ตอนที่ความรู้เรื่องอาหารของมนุษย์ยังไม่ได้พัฒนามากนัก เรานิยมดื่มแอลกอฮอล์กันมากกว่าน้ำ เพราะมีความปลอดภัยกว่า เนื่องจากกระบวนการหมักของยีสต์ที่สร้างให้เกิดแอลกอฮอล์นั้น จะช่วยในการฆ่าเชื้อโรคไปด้วย ทำให้ในทุกสังคมจะยุโรปหรือเอเซีย ต่างก็มีวัฒนธรรมการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นของตัวเองทั้งนั้น ทางยุโรปก็มีการใช้ข้าวบาร์เลย์หรือองุ่น
แต่ในฝั่งด้านเอเซียเรานั้นจะหาน้ำตาลก็ไม่ไช่เรื่องที่ง่ายนัก(ในยุคนั้น)
เลยมักนิยมใช้ข้าวที่ปลูกกันเป็นอาหารหลักมาทำแอลกอฮอล์มากกว่า
ซึ่งปัญหาก็คือเมล็ดข้าว จะข้าวสาร ข้าวเหนียว หรือข้าวแบบไหนๆก็ตาม เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เกินกว่าที่ยีสต์จะสามารถกินและสร้างแอลกอฮอล์ได้ ทางภูมิภาคนี้เลยมีการพัฒนาใช้พวกเชื้อราที่กินได้ นำมาช่วยย่อยแป้งในข้าวให้เป็นน้ำตาล เพื่อให้เกิดการหมักกับยีสต์ให้เกิดแอลกอฮอล์ต่อไป
โดยแต่ละประเทศก็มีเชื้อราท้องถิ่นของตัวเองที่เติบโตในอากาศและอุณหภูมิที่แตกต่างกัน นั่นก็คือเครื่องดื่มกลุ่ม ‘สาเก’ - ญี่ปุ่น), ‘สาโท’ -ไทย และ ‘มักกอลลี’ (เกาหลี) หรือเรียกรวมๆว่า ไวน์ข้าว
ถ้าเอาสุราแช่กลุ่มนีไ้ปกลั่น ก็จะออกมาเป็น 'สาโท' เป็น 'เหล้าขาว' ส่วน 'มักกอลลี' เป็น 'โซจู' ออกมานั่นเอง นั่นเอง
ส่วนประกอบของสาเกล สาโท และมักกอลลี นั้นเหมือนกันอย่างมาก นั่นคือประกอบไปด้วย
1. ข้าวหุงสุก ในไทยนิยมใช้ข้าวเหนียวที่มีแป้งปริมาณสูง และมีความคล้ายข้าวญี่ปุ่นและจีนค่อนข้างมาก
2. เชื้อรา อย่าง โคจิ(ญี่ปุ่น) ลูกแป้ง(ไทย) และนูรู้ก(เกาหลี)
3. น้ำ
กล่าวโดยสรุป สาเกหรือสาโท นั้นเป็นเครื่องดื่มที่มีพื้นฐานและองค์ประกอบที่คล้ายกันมาก ทั้งข้าว เชื้อราและน้ำ แต่จะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ของข้าวและเชื้อรากันเป็นหลัก
อีกส่วนที่มีผลให้รสชาติแตกต่างกันก็คื่อ เรื่องของอุณหภูมิการหมัก เพราะประเทศญี่ปุ่นเก็บเกี่ยวข้าวในช่วงปลายปีและทำสาเกในช่วงฤดูหนาว ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก บางท้องที่มีอุณหภูมิติดลบ หรือหิมะตก แต่สาโทของไทย แม้จะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปีใกล้เคียงกันแต่ด้วยอุณหภูมิที่ร้อนกว่า กลางวัน 30 องศา กลางคืน 20 องศา ก็ทำให้กระบวนการหมักนั้นสร้างกลิ่นรสที่แตกต่างกัน
แต่สำหรับสาโทที่ทำอย่างพิถีพิถัน และควบคุมอุณหภูมิ ก็อาจจะทำให้สาโทมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับสาเกเลยก็ว่าได้
ครั้งหน้าถ้าคุณมีโอกาสลองหยิบสาโทไป pairing กับอาหารญี่ปุ่นเทียบกับสาเกก็ได้นะ
เผื่อจะได้พบเจอประสบการณ์และรสชาติใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเจอกันมาก่อน และทำให้มื้อนั้นเป็นมื้อที่พิเศษขึ้นมาได้ครับ